ในปัจจุบันมีการแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ขายต้องกระตุ้นยอดขายด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจ โดยใช้เงินลงทุนทุ้มไปกับการผลิตสินค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะเชื่อว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพของสินค้าและแบรนด์ได้ จนละเลยรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นองค์ประกอบเสริมให้สินค้ามีความน่าสนใจ ที่เรียกว่า บรรจุภัณฑ์
หากพูดถึง บรรจุภัณฑ์ เราจะนึกถึงการออกแบบกล่องที่มีลายกราฟฟิกหรือรูปภาพที่สะท้อนให้เห็นตัวสินค้า รวมไปถึงข้อมูลต่างๆ ของสินค้าชนิดนั้น ดังนั้น การออกแบบกล่องจึงเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง ถ้ากล่องใส่สินค้ามีรูปแบบไม่ดึงดูดใจลูกค้า แบรนด์นั้นก็อาจจะไม่ได้รับความนิยม สุดท้ายผู้ขายต้องกระตุ้นยอดขายด้วยวิธีอื่น เช่น การลงโฆษณาสินค้าในสื่อต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการประชาสัมพันธ์ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ได้ผลเพียงแค่ระยะสั้น เนื่องจากการโฆษณาเป็นสื่อที่ลูกค้าจับต้องได้ยาก ซึ่งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้มากกกว่า คือ บรรจุภัณฑ์
บรรจุภัณฑ์ คือปัจจัยหลักที่เป็นแรงสนับสนุนให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้านั้น หากผู้ขายสามารถออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความแตกต่างก็จะมีผลต่อการเติบโตทางธุรกิจ อีกทั้งยังเพิ่มยอดขายและสร้างมูลค่าของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี สิ่งสำคัญของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ไม่ได้อยู่ที่การใช้งาน แต่เป็นการออกแบบที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ถือเป็นการวางแผนการตลาดที่ลงทุนน้อยแต่สร้างมูลค่าได้มหาศาล ลองมาดูผลการวิจัยของ Westrock ในปี 2014 เรื่อง ความสำคัญของบรรจุภัณฑ์ที่ส่งผลต่อการซื้อของผู้บริโภค จากการวิจัย พบว่า
ร้อยละ 65 เป็นลูกค้าใหม่ที่ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าครั้งแรกจากบรรจุภัณฑ์
ร้อยละ 55 เป็นลูกค้าเดิมที่ซื้อสินค้าซ้ำเนื่องจากประทับใจในบรรจุภัณฑ์
ร้อยละ 50 เป็นลูกค้าที่เปลี่ยนแบรนด์ เพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ประทับใจในบรรจุภัณฑ์
จากผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า บรรจุภัณฑ์เป็นตัวแทนของแบรนด์ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด ดังนั้น ผู้ผลิตควรออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สร้างความประทับใจพร้อมกับเชื่อมโยงความเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ เพื่อพัฒนาแบรนด์ให้โดนใจผู้บริโภค มากขึ้น ผลที่ตามมา คือ ยอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น จะเห็นได้ว่า การออกแบบบรรจุภัณฑ์จึงไม่ใช่เพียงแค่งานศิลปะอีกต่อไป แต่คือ การออกแบบแผนการตลาด เพื่อให้ได้ยอดขายที่ดีที่สุดนั่นเอง “ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์”