คู่มือเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางมือใหม่
: เริ่มต้นแบรนด์เครื่องสำอางอย่างไรให้ปัง!
หากเพื่อนๆ มีเป้าหมายอยากสร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง และยังกังวลไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี? แล้วยังไม่ได้เริ่มทำสักที! BKKPaperBox จะพาเพื่อนๆ “เริ่มต้นสร้างแบรนด์” แบบจับมือทำกับคู่มือ 10 ข้อง่ายๆ สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง
1. วางแผนภาพรวม
ให้เพื่อนๆ วางแผนแบบกว้างๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกผิด สามารถปรับเปลี่ยนได้ในลำดับต่อไป แค่ให้เรามีข้อมูลเบื้องต้นเพื่อกำหนดเป้าหมายของแบรนด์ ในขั้นตอนนี้ให้เราลองคิดหรือจดโน้ตย่อออกมาก่อน โดยอาจอิงจากสินค้าที่เราสนใจ ชื่นชอบ หรือเช็คเทรนด์เครื่องสำอางที่กำลังมาแรง แล้วจดโน้ตออกมาตามนี้
1.1 ต้องการขายเครื่องสำอางประเภทใด?
ตัวอย่าง เซรั่มบำรุงผิว ครีมกันแดด ลิปสติก บรัชออน แป้งพัฟ เป็นต้น การระบุประเภทของเครื่องสำอางแบบเฉพาะเจาะจงนี้จะช่วยให้เราวางแผนการสร้างแบรนด์ได้ง่ายและตรงจุดมากขึ้น
1.2 เครื่องสำอางนั้นมีความโดดเด่นในด้านใด หรือต้องการแก้ปัญหาจุดบกพร่องใด?
ตัวอย่าง
เครื่องสำอางสูตรกันแดด กันน้ำ ได้แก่ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ลิปสติกกันแดด ลิปสติกสีติดทนไม่ลอก บรัชออนเนื้อครีมติดทนนาน มาสคาร่ากันน้ำ แป้งพัฟกันน้ำ
เครื่องสำอางสูตรปกปิดริ้วรอย ได้แก่ ครีมรองพื้นปกปิดรอยสิว แป้งพัฟเบลอรูขุมขน ลิปสติกฟิลเลอร์
สกินแคร์สำหรับผิวบอบบาง ได้แก่ ครีมลดลอยสิว ฝ้า กระ เซรั่มลดเรือนริ้วรอย มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิว
สกินแคร์สำหรับฟื้นฟูผิวและลดเรือนริ้วรอย ได้แก่ เรตินอล(Retinol) เอ็กโซโซม(Exosome)
1.3 ต้องการขายสินค้าแก่ลูกค้ากลุ่มใด?
ตัวอย่าง กลุ่มวัยรุ่นวันเรียน กลุ่มวัยรุ่นเริ่มทำงาน กลุ่มคนทำงานแล้ว กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มวัยเกษียร เป็นตัน การกำหนดกลุ่มลูกค้ามีผลต่อการสร้างผลิตภัณฑ์และราคา เช่น ต้องการขายลิปสติกให้กลุ่มลูกค้าวัยเรียน ตัวลิปสติกควรเน้นเรื่องสีสันที่สดใส แพคเกจจิ้งต้องน่ารัก และราคาไม่สูงจนเกินไปเพราะกลุ่มวัยเรียนยังไม่มีรายได้ แต่ถ้าต้องการขายลิปสติกให้กลุ่มลูกค้าแม่บ้านและกลุ่มวัยเกษียร ตัวลิปสติกควรเน้นเรื่องคุณภาพและส่วนประกอบที่ช่วยแก้ปัญหา เช่น ลิปสติกฟิลเลอร์ช่วยให้ปากดูอวบอิ่ม ลิปที่ช่วยให้ปากไม่แห้งตึง ส่วนสีสันเน้นสีที่ดูสุภาพ ไม่ฉูดฉาดเกินไป และแพคเกจจิ้งเน้นความพรีเมี่ยม เรื่องราคาสามารถกำหนดราคาที่สูงได้เพราะกลุ่มลูกค้ามีกำลังในการซื้อแต่ต้องเหมาะสมกับคุณภาพด้วยนะคะ
1.4 กำหนดงบประมาณไว้ที่เท่าไร?
ให้เพื่อนๆ ลองกำหนดงบประมาณคร่าวๆ ไว้ก่อน เพื่อดูกำลังในการสร้างแบรนด์และกำหนดเป้าหมายที่เราจะทำให้ไปถึงได้ งบประมาณที่ควรตั้งไว้สำหรับแบรนด์ขนาดเล็ก (เริ่มต้นขาย) อยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 บาท โดยงบประมาณจะปรับไปตามประเภทของเครื่องสำอาง สูตรเครื่องสำอาง จำนวนการผลิต เป็นต้น
2. ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ด้วยตนเอง
เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องเวลา เงินที่อาจเสียไปถ้าสินค้าที่คิดไว้ไม่เวิร์ค BKKPaperBox แนะนำให้เพื่อนๆ ลองศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ดูก่อน ก่อนที่จะลุยต่อในขั้นตอนต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้ทำได้ง่ายๆ โดยลองเข้าไปสัมผัสกับกลุ่มสินค้าและตลาดลูกค้าของโปรดักส์ที่เราสนใจจะขาย เช่น ต้องการขายลิปสติกให้กับกลุ่มนักศึกษาหรือกลุ่มวัยทำงาน เราก็สำรวจตลาดแต่ละแบรนด์ที่ขายลิปสติกว่าเขากำหนดราคาไว้อย่างไร? โปรดักส์นั้นมีข้อดี/ข้อเสียอย่างไร? รวมถึงการดู“เทรนด์ตลาด”ก่อน ว่าช่วงนี้วัตถุดิบหรือสารประกอบตัวใดที่กำลังเป็นที่นิยม เพื่อให้สินค้าที่เรากำลังจะผลิตออกมายังคงอยู่ในกระแสและได้รับความนิยม ผลที่ตามมาคือ เราจะขายสินค้าได้
3. ศึกษาเกณฑ์การเลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอาง
ปัจจุบันมีโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางมากมาย ในรูปแบบโรงงาน OEM (Original Equipment Manufacturer) ซึ่งการเลือกโรงงาน OEM นั้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แบรนด์ของเราจะปังหรือจะพังได้เลย ดังนั้น เพื่อนๆ จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลในการเลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ BKKPaperBox รวบรวมเกณฑ์การเลือกโรงงาน OEM ไว้ให้แล้ว อ่านต่อได้ที่ 10 เกณฑ์การเลือกโรงงาน OEM ที่ใช่!
4. รีเสริชข้อมูล หาผู้ผลิต
เมื่อเรารู้เกณฑ์การเลือกโรงงาน OEM แล้ว เราสามารถใช้เกณฑ์นั้นประกอบการเลือกโรงงานผู้ผลิตได้เลย เริ่มจากการค้นหาโรงงานผู้ผลิตใน Google เข้าไปดูเว็บไซด์ ดูข้อมูลของแต่ละโรงงานคร่าวๆ เช่น โรงงานนนั้นถนัดผลิตเครื่องสำอางประเภทใด ให้บริการอะไรบ้าง จากนั้นให้เราจดโน้ตลิชรายชื่อโรงงานที่สนใจ แล้วโทรติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ขอบเขตการให้บริการ ขั้นตอนของออร์เดอร์การผลิต ราคาต่อหน่วย ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการให้บริการเสริมอื่นๆ เช่น การขึ้นทะเบียนอย. ไปจนถึงวิธีการจัดส่งสินค้า BKKPaperBox ได้รวบรวมข้อมูลโรงงานที่รับผลิตเครื่องสำอางได้มาตรฐานแบบครบวงจร อ่านต่อได้ที่ 10 โรงงาน OEM มาแรง ได้มาตรฐาน
5. เลือก “สูตร” ผลิตภัณฑ์
เมื่อเพื่อนๆ หาโรงงานที่ใช่ได้แล้วก็มาถึงขั้นตอนสำคัญ คือ การทำสูตรผลิตภัณฑ์ เป็นการเลือกส่วนประกอบ สารสกัดหลักในผลิตภัณฑ์ของเรา โดยโรงงานผู้ผลิตส่วนใหญ่มักมีสูตรมาตรฐานไว้อยู่แล้วสำหรับผลิตเครื่องสำอางประเภทต่างๆ หากสูตรเหล่านั้นตรงใจเราก็สามารถสั่งผลิตได้เลยทันที แต่ถ้าเราต้องการสูตรเฉพาะของแบรนด์หรือต้องการให้แตกต่างกว่าสูตรมาตรฐานที่มีอยู่ เราสามารถคุยกับโรงงานผู้ผลิต เพื่อพัฒนาสูตรของเราได้
6. ทดลองใช้ ก่อนตัดสินใจ
เมื่อได้สูตรเครื่องสำอางของเราแล้ว เราควรทดลองใช้และให้เวลากับการเทสแต่ละสูตร เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าของเราดีจริง เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งต้องให้ความใส่ใจเรื่องความปลอดภัย ใช้แล้วไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองโดยการทดลองใช้กับตนเองและคนรอบข้าง พร้อมเก็บข้อมูลเพื่อใช้ปรึกษาและพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์กับทางโรงงานผู้ผลิต ก่อนตัดสินใจผลิตจริง
7. วางแผนการตลาด สร้าง Brand Story ดึงจุดขาย
เมื่อได้สูตรเครื่องสำอางที่โดนใจแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อมาคือ การวางแผนมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งควรวางแผนให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์กำหนดทิศทางของแบรนด์ เริ่มตั้งแต่การสร้าง Brand Story ดึงจุดขายของสินค้าและบอกเล่าเรื่องราวสินค้าผ่านตัวแบรนด์ เปรียบเสมือนการแนะนำตัว เพื่อให้กลุ่มลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ ตัวอย่างการสร้าง Brand Story อ่านต่อได้ที่ การสร้าง Brand Story นั้นสำคัญอย่างไร? นอกจากนี้ Brand Story ยังช่วยให้เรากำหนดองค์ประกอบของแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่การตั้งชื่อแบรนด์ ออกแบบโลโก้ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่สอดคล้องไปกับเรื่องราวของแบรนด์ ทำให้แบรนด์ของเรามีเอกลักษณ์กลายเป็นจุดขาย และสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้
8. ออกแบบโลโก้ บรรจุภัณฑ์
ขั้นตอนค่อนข้างสำคัญสินค้าจะขายได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่ความน่าสนใจของรูปลักษณ์แบรนด์ ดังนั้น การควรอิงกับตัวผลิตภัณฑ์และ Brand Story ที่วางไว้ เนื่องจากตัวแพคเกจจิ้งบรรจุภัณฑ์เปรียบเสมือนหน้าตาของเรา หากเราตกแต่งหน้าตาให้สวยโดดเด่นและเหมาะกับเราย่อมมีคนมอง เช่นเดียวกันกับการออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ หากเราออกแบบได้ตรงกับตัวสินค้าและสร้างจุดเด่นดึงดูดความสนใจ ย่อมเพิ่มโอกาสการขายตามมาได้ หากเพื่อนๆ ยังไม่มีไอเดียในการออกแบบ BKKPaperBox รวบบทความไอเดียการออกแบบแพคเกจิ้ง ดังนี้
อ่านต่อได้ที่
5 ความลับ แพคเกจขายดี
10 กล่องเครื่องสำอาง ดูดี มีสไตล์
อัพเดตเทรนด์กล่องเครื่องสำอาง
ความลับ 3 ข้อ เกี่ยวกับแพคเกจจิ้ง (packaging) ของแบรนด์ดัง
4 ข้อมูลที่ต้องพร้อม ก่อนเริ่มออกแบบกล่อง
สีกับการการออกแบบกล่อง
9. สั่งผลิตจริง ทั้งสินค้าและบรรจุภัณฑ์
เมื่อสูตรพร้อม ดีไซน์พร้อม ก็ได้เวลาทำฝันให้เป็นจริง โดยการสั่งผลิตตัวสินค้าแนะนำให้เพื่อนๆ เริ่มผลิตในจำนวนที่น้อย เพื่อทดลองตลาดก่อน หากขยายตลาดได้มากขึ้น เพื่อนๆ จึงเพิ่มจำนวนการผลิตในล็อตต่อไป เพื่อเป็นการสำรวจความต้องการของตลาด และช่วยให้เราวิเคราะห์ทิศทางของแบรนด์ได้ ส่วนการสั่งบรรจุภัณฑ์มีโรงงานหลายแห่งที่ให้บริการผลิตแบบครบวงจร คือ ผลิตทั้งสินค้าและผลิตบรรจุภัณฑ์ให้เสร็จสรรพ หากดีไซน์บรรจุภัณฑ์ของโรงงานยังไม่โดนใจ เพื่อนๆ สามารถเลือกใช้บริการจากผู้ออกแบบและโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์/แพคเกจจิ้ง แยกตากหากได้ เพื่อให้ได้งานที่ตรงใจเพื่อนๆ มากที่สุด
อ่านต่อได้ที่
5 เช็คลิสต์ก่อนสั่งผลิตกล่อง!
3 ข้อดี เมื่อคุณใช้บริการ “รับผลิตกล่อง”
10. เน้นพัฒนาแบรนด์ อัพยอดขายอยู่เสมอ
โลกของการตลาดไม่เคยหยุดอยู่กับที่ เมื่อสินค้าพร้อม แผนการตลาดพร้อม เราเองก็หยุดไม่ได้เช่นเดียวกัน หน้าที่สำคัญของเจ้าของแบรนด์ คือ ให้ความใส่ใจกับการพัฒนาแบรนด์ หาช่องทางทำการตลาด เพิ่มกลุ่มลูกค้า ดังนั้น เพื่อนๆ ควรศึกษาเทรนด์ใหม่ๆอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาสูตร พัฒนาสินค้า ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนแพคเกจจิ้งหรือรีแพคเกจจิ้ง อ่านต่อได้ที่ รีแพคเกจจิ้ง คืออะไร? ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ของเรามีการพัฒนาตลอดเวลา สร้างโอกาสให้เจอลูกค้าใหม่และทำให้ลูกค้าเก่าอยากกลับมาซื้อซ้ำ
ทั้งหมดนี้คือ คู่มือที่จะช่วยให้เพื่อนๆ เดินทางตามฝันเริ่มต้นสร้างแบรนด์เครื่องสำอางให้ปังได้ และสำหรับใครที่เป็นสายมู อยากได้แรงยึดเหนียวจิตใจ เพื่อส่งพลังงานดีๆ ให้เราเริ่มต้นสร้างแบรนด์ได้อย่างมั่นใจ BKKPaperBox มี 5 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับไหว้ขอพรเรื่องการงาน การเงิน มาฝากค่ะ อ่านต่อได้ที่ 5 สถานที่ไหว้ขอพรเสริมดวงการงานที่แม่ค้าสายมูไม่ควรพลาด
ปรึกษาเรื่องงานออกแบบและผลิต กล่องบรรจุภณฑ์ ฉลากสินค้า กับทีมงาน BKKPaperBox ได้ที่
พูดคุย ปรึกษา สอบถาม สั่งผลิตงาน Add Line
Line ID : @bkkpaperbox
โทรสอบถามเพิ่มเติม
เอวา 0956519893
เอ็มมี่ 0933264882